ลิเวอร์พูล ปิดจ็อบเกมแรกของรอบตัดเชือกถ้วย คาราบาวคัพ ได้สำเร็จเมื่อเปิด แอนฟิลด์ เอาชนะ ฟูแล่ม ทีมจาก พรีเมียร์ลีก ด้วยกันได้ด้วยสกอร์ 2-1 ในการฟาดแข้งเมื่อวันพุธที่ 10 ม.ค.แม้จะพลาดท่าเสียประตูให้ เจ้าสัวน้อย ก่อนในครึ่งแรก แต่ครึ่งหลัง เครื่องจักรสีแดง ทำงานเต็มสูบ พร้อมทั้งสอยตาข่ายได้สองตุงสร้างความแฮปปี้ให้สาวก เดอะ ค็อป ได้ตามความคาดหมาย
1.หงส์ ส่ง แบรดลีย์ ออกสตาร์ต
ลิเวอร์พูล แก้ปัญหาการปราศจากแบ็คขวา เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ที่เจ็บเข่าด้วยการส่ง คอเนอร์ แบรดลีย์ ปราการหลังวัย 20 ปีลงเล่นเป็นตัวจริง
ขณะเดียวกัน ควีวิน เคลเลเฮอร์ ซึ่งจองเฝ้าตาข่ายในถ้วยใบนี้ได้ออกสตาร์ตเป็นเกมที่ 10 ของซีซั่น ขณะที่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ หายป่วยกลับมาลงบู๊ แต่ ดาร์วิน นูนเญซ ที่ใช้โอกาสเปลืองจนติดเป็นนิสัยถูกดร็อปโดยมี ดีโอโก้ โชต้า รับบทหัวหอก
ด้าน โจ โกเมซ ลงเล่นเกมนี้เป็นนัดที่ 200 ให้กับ เร้ด แมชีน พอดี
- เจ้าสัวน้อยปรับโผห้าราย
มาร์โก ซิลวา นายใหญ่ ฟูแล่ม โรเตชั่นทีมห้าตำแหน่งจากเกม เอฟเอคัพ รอบสามนัดเปิดบ้านเฉือนชนะ ร็อตเตอร์แฮม 1-0
ในจำนวนนี้ มาเร็ค โรดัก , เคนนี่ เตเต้ , ซาซ่า ลูคิช , แฮร์รี่ วิลสัน และ โรดริโก้ มูนิซ ถูกจับให้นั่งข้างสนาม
สำหรับดาวเตะคีย์แมนห้ารายที่หวนคืนสู่โผ 11 คนแรกฟัดกับ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้ประกอบไปด้วย แบรนด์ เลโน่ , แอนโทนี่ โรบินสัน , ชูเอา ปาลินญ่า , วิลเลี่ยน และ ราอูล ฮิมิเนซ
- ฟาน ไดค์ VS เปเรยร่า
การส่ง ฟาน ไดค์ กัปตันทีมลงเล่นเป็นตัวจริงเกมนี้หลังจากดาวเตะทีมชาติ ฮอลแลนด์ หายป่วยแสดงให้เห็นว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ เอาจริงกับถ้วยใบนี้เนื่องจาก ลิเวอร์พูล มีโอกาสคว้าแชมป์ใบแรกจากสี่ใบในซีซั่นนี้ไม่น้อยหลังหลุดเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศ
อย่างไรก็ดี ไม่แน่ใจว่าสตาร์ดัตช์มีสภาพความฟิตเต็มร้อยหรือเปล่าหลังหายป่วยเนื่องจากเขาเป็นจุดเปลี่ยนของเกมทำให้ หงส์แดง ที่เหนือกว่าเยอะเสียประตูก่อนในนาทีที่ 19 จากโอกาสหนแรกของทีมเยือนทั้งๆที่ช่วงนั้น ลิเวอร์พูล ครองบอลได้เหนือกว่าสูงถึง 67%
จากจังหวะโขกสกัดที่ไม่ดีพอของ ฟาน ไดค์ เปิดทางให้ อันเดรียส เปเรยร่า ได้เก็บบอลลุยเข้าเขตโทษไปจ่ายต่อให้ วิลเลี่ยน ซัดตุงตาข่ายพา เจ้าสัวน้อย บุกมานำ 1-0 โดยในวัย 35 ปี 154 วันทำให้กองกลางละตินเป็นนักเตะอายุมากที่สุดที่สอยตาข่ายในรอบตัดเชือกถ้วย ลีกคัพ ได้นับตั้งแต่ แฟร์นานดินโญ่ คลำเป้าให้ แมนฯ ซิตี้ ได้ในวัย 35 ปี 247 วันเมื่อเดือนม.ค.2021
เท่านั้นไม่พอ ถัดมาอีกไม่นาน ฟาน ไดค์ เสียเหลี่ยมให้ เปเรยร่า อีกหนเมื่อยกมือปัดหน้าดาวเตะแซมบ้าเบาๆแถวกลางสนามจากจังหวะพยายามบังบอล และปรากฏว่ากองกลางทีมเยือนยกมือกุมหน้าดิ้นเป็นปลาดุกโดนทุบหัวเรียกใบเหลืองจากกระเป๋าเสื้อจากผู้ตัดสินได้สำเร็จ
ทำไปทำมา นับจากนั้นเกมของ ฟูแล่ม กลับวูบวาบกว่าในจังหวะได้บุกโต้เนื่องจากสถิติใน 45 นาทีแรกชี้ให้เห็นว่าทีมเยือนคมกว่าจากการส่งบอลเข้ากรอบได้มากถึงสามจากสี่ครั้งที่ได้ลองเข่น ขณะที่เจ้าบ้านซึ่งครองบอลได้มากกว่า 69:31% ได้ง้างเจ็ดครั้งก็จริง แต่เข้ากรอบแค่ครั้งเดียวซึ่งไม่ใช่ครึ่งแรกที่ดีเลยของทีม เร้ด แมชีน
- เครื่องจักรสีแดงทำงาน
กระนั้นก็ดี เข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล สำแดงเดชได้อีกตามเคยจากการเป็นเจ้าพ่อเกมใน 45 นาทีสุดท้ายเนื่องจากเป็นอีกนัดที่ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์พังประตูจากที่เป็นรองแซงชนะคู่แข่งได้สำเร็จจากฝีเท้าของ เคอร์ติส โจนส์ ในนาทีที่ 68 และ โคดี้ กัคโป ตัวสำรองในนาทีที่ 71 หลังจาก เร้ด แมชีน เดินหน้าเต็มสูบกระทั่งแผงหลังของ เจ้าสัวน้อย ต้านไม่อยู่
นอกจากจะบดขยี้คู่ต่อสู้จนสามารถรัวกระสุนได้ตามเป้าแล้ว เป็นอีกนัดเช่นกันที่ คล็อปป์ แก้เกมพาทีมพลิกสถานการณ์คว้าชัยชนะได้เนื่องจากประตูที่สองซึ่งเป็นประตูชัยของเจ้าบ้านเกิดจากการประสานงานสองตัวสำรอง ดาร์วิน นูนเญซ ที่ผ่านบอลให้ กัคโป เช็กบิลในระยะเผาขนพาทีมได้เฮฮา
สำหรับ นูนเญซ เป็นอีกนัดที่เขามีจังหวะทะลวงประตู อย่างเกมนี้ก็มีโอกาสเหน่งๆสามหนเห็นจะได้ แต่เหมือนกองหน้า อุรุกวัย จะต้องคำสาปที่ไม่อาจส่งบอลเข้าประตูได้เลย และถูกเซฟอย่างไม่น่าเชื่อยันเต
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นถึงการเป็นเจ้าพ่อบอลครึ่งหลังตัวจริงเสียงจริงเนื่องจากเป็นนัดที่เจ็ดในซีซั่นนี้ของทุกรายการที่พวกเขากำชัยได้แม้จะเสียประตูให้ฝ่ายตรงข้ามก่อนซึ่งเป็นผลงานที่เหนือกว่าทุกสโมสรของทั้งสี่ดิวิชั่นในลีกเมืองผู้ดีซีซั่นนี้ด้วย
จบเกม ลิเวอร์พูล ยังครองบอลได้มากกว่า 67:33% และได้ยิงรวมทั้งสิ้น 21 ครั้งเข้ากรอบ 7 ครั้ง ขณะที่ ฟูแล่ม ได้ลองตะบัน 6 และเข้ากรอบมากถึง 4 ครั้งซึ่งถือว่าไม่เลวเลยสำหรับโอกาสจบสกอร์ที่เข้าเป้าของทีมจากเมืองหลวง
- ขาด เทรนต์ ไม่ขาดใจ
เกมก่อนหน้านี้ที่บุกไปเขี่ย อาร์เซน่อล ตกรอบสามถ้วย เอฟเอคัพ ลิเวอร์พูล กำราบ เดอะ กันเนอร์ส ได้โดยไม่จำเป็นต้องมี โม ซาลาห์
มาเกมนี้ หงส์แดง ขาด รองเทรนต์ ที่เจ็บเพิ่มไปอีกราย และไม่เป็นปัญหาเช่นกันเนื่องจาก แบรดลีย์ เจ้าหนูไอริชวัย 20 ปีทดแทนได้อย่างไม่เคอะเขินเลยแม้แต่น้อย
เริ่มตั้งแต่ 45 นาทีแรกซึ่งเขาฉายฟอร์มได้อย่างโดดเด่นที่สุดในสนามแม้เจ้าบ้านจะเสียประตูก่อน แต่ แบรดลีย์ สร้างความประทับใจได้อย่างไร้ที่ติถึงขนาด ลิเวอร์พูลเอ็คโค่ ให้คะแนนความสามารถในครึ่งแรกสูงที่สุดในทีมเจ็ดเต็มสิบเลยทีเดียว
จากนั้นในครึ่งหลังซึ่ง เร้ด แมชีน พลิกสถานการณ์กลับมาแซงชนะได้ แบรดลีย์ โชว์ฟอร์มได้จัดจ้านมากขึ้นไปอีกถึงขนาดสื่อเจ้าดังกล่าวยกให้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ จากการให้คะแนนแปดเต็มสิบแม้จะว่าไป โจนส์ โดดเด่นไม่แพ้ใครเช่นกัน และได้ตำแหน่งดังกล่าวของเกมอย่างเป็นทางการจากสถิติชนะการแย่งบอล 6 ครั้ง , ผ่านบอลสำเร็จ 47จาก48ครั้ง , ได้ยิง 4 ครั้งและลากบอลสำเร็จ 4 ครั้ง รวมทั้งยิงประตูได้ 4 ลูกแล้วจาก 4 นัดหลังที่ แอนฟิลด์
สำหรับ แบรดลีย์ แม้จะลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่รวมแล้วไม่เกิน 10 นัด แต่มันดูเหมือนว่าเขาค้าแข้งมานานเหลือเกิน แถมเล่นได้อย่างน่าดูชมทั้งเกมรุกที่ไม่พลาดง่ายๆ ทั้งยังบุกไปเติมเกมรุกได้อย่างน่าทึ่งอีกด้วยโดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของเกมนี้ที่เจ้าตัวบุกขึ้นหน้าจนโดนทำฟาวล์เรียกลูกฟรีคิกริมเขตโทษให้ทีมได้สองครั้ง อีกทั้งมีจังหวะผ่านบอลให้ นูนเญซ เผด็จศึกด้วย แม้สตาร์อเมริกาใต้จะโชคร้ายไม่มีชื่อบนสกอร์บอร์ดอีกตามเคย
เอาเป็นว่าเห็นฟอร์มของ แบรดลีย์ แล้ว คล็อปป์ ไม่น่าจะต้องลงทุนเพิ่มหาใครมาทดแทน อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ แต่อย่างใดแม้จะว่าไปเจ้าหนูจะด้อยกว่าเจ้าของตำแหน่งอยู่สองจุดทั้งการแอสซิสต์ที่ต้องใช้เวลาสะสมประสบการณ์ และการสาดบอลยาวในจังหวะได้เสีย