พรีเมียร์ลีก 2023/24

thumbnail
  • แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ 6 ครั้งจาก 10 ฤดูกาลล่าสุดในพรีเมียร์ ลีก
  • ลิเวอร์พูล เป็นสโมสรเดียวที่ได้ลุ้นแชมป์ทุกรายการในอังกฤษฤดูกาลนี้
  • อาร์เซนอล รอคอยการได้แชมป์พรีเมียร์ ลีก เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี

 

Opta มีการประเมินเกี่ยวกับโอกาสในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ของสามสโมสรที่คาดว่าจะเป็น “ม้าสามตัวสุดท้าย” ของฤดูกาล 2023-2024 ในการชิงชัยแชมป์พรีเมียร์ ลีก 

 

Opta หนึ่งในบริษัทที่ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวงการฟุตบอลทั่วโลก รวมถึงพรีเมียร์ ลีก ได้มีการประเมินสถิติ และคำนวณโอกาสตามการคาดการณ์ว่าทีมใดจะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลนี้ โดยพวกเขาได้ผลสรุปออกมาในลักษณะนี้

 

ลิเวอร์พูล อันดับหนึ่งในเวลานี้ (24 เกม 54 คะแนน ลูกได้เสียดีกว่าทั้งสองทีม +1) เหลือ 14 เกม (เหย้า 7 เยือน 7) 

มองกันเฉพาะคู่แข่งที่เหลือ พวกเขาเหลือพบกับ สองทีมจากแมนเชสเตอร์ – สเปอร์ส, แอสตัน วิลล่า และ เอฟเวอร์ตัน ทีมร่วมเมือง ก่อนปิดบ้านเจอกับ วูลฟ์ส นอกนั้นถือว่างานไม่ยากเกินมาตรฐานของพวกเขา ถือว่าพวกเขาเกมเบาที่สุดในสามทีม อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็เหลือลงเล่นครบทุกรายการ ซึ่งจะจบหนึ่งรายการในปลายเดือนนี้กับ คาราบาว คัพ ส่วนการเล่น ยูโรป้า ลีก ก็เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขาไม่น้อยเมื่อเทียบกับอีกสองทีมในการลงเล่นในเส้นทางแชมเปี้ยนส์ ลีก แน่นอนแฟนหงส์ฝันการคว้า 4 แชมป์ ที่พวกเขาเคยได้ลุ้นมาแล้วในปี 2021-2022 ปีนั้นจบลงด้วยการเป็นเพียง ดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยในประเทศเท่านั้น

 

การประกาศอำลาทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีผลแน่นอนในเรื่องของสภาพจิตใจแฟนบอล ทุกเกมในแอนฟิลด์ เหมือนเกมรอบชิงชนะเลิศทุกเกม และนั่นจะเป็นแรงผลักดันสำคัญสำหรับทีมอย่างยิ่ง ปีนี้พวกเขาทำสถิติไม่แพ้ใครในลีก 15 เกมรวด (ชนะ 10 เสมอ 5) นั่นทำให้พวกเขามายืนตรงจุดนี้

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (23 เกม 52 คะแนน ลูกได้เสียตามหลังลิเวอร์พูล 1 ประตู และเท่ากับอาร์เซนอล) 

ขอเรียกว่าเป็น “จ่าฝูงในทางทฤษฎี” พวกเขาเหลือเกมในมือมากกว่าอีกสองทีมอยู่หนึ่งเกม พวกเขาเหลือ 15 เกม (เหย้า 8 เยือน 7) หากเกมตกค้างพวกเขาชนะได้ พวกเขาจะมี 55 คะแนน และจะเป็น “ตัวตั้ง” คะแนนสูงสุดของการเป็นแชมป์ลีก หากชนะทุกเกม ปีนี้แชมป์ลีกจะจบด้วย 97 คะแนน หากเป็นเช่นนั้นทีมของกวาร์ดิโอล่า จะกลายเป็นสโมสรแรกในพรีเมียร์ ลีก ที่คว้าแชมป์ติดต่อกัน 4 สมัยรวด (2021-2024) ขณะที่ทั้ง เอฟเอ คัพ และ แชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขายังคงอยู่ในเส้นทางป้องกันแชมป์

 

พวกเขาเหลือเจอทั้งกับ เชลซี ที่ปีนี้ผลงานก็ไม่แน่นอน, สงครามร่วมเมืองกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงเกมเยือนสเปอร์ส และมีเกมสำคัญที่สุดกับลิเวอร์พูล และอาร์เซนอล ที่ตัดแต้มกันโดยตรง ตารางแข่งของพวกเขายากไม่ใช่น้อย แต่การได้ตัว เควิน เดอ บรอยน์ และ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ตัวรุกสุดสำคัญกลับมาฟิตสมบูรณ์แล้ว พวกเขาก็พร้อมที่จะทะลวงไส้ได้ทุกทีม

 

8 เกมหลังสุดพวกเขาชนะ 7 เสมอ 1 ในพรีเมียร์ ลีก ความสม่ำเสมอในผลการแข่งขันคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของทีมเรือใบสีฟ้า พวกเขาแสดงให้เห็นในเรื่องนี้บ่อยครั้ง ปีที่แล้วพวกเขาชนะ 13 จาก 15 เกมในช่วงสุดท้าย ปาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ไปแบบต่อหน้าต่อตาอาร์เซนอล ขณะที่ปีก่อนหน้านั้นพวกเขา ชนะ 9 จาก 12 เกม ปาดหน้าเฉือนลิเวอร์พูล 1 คะแนนคว้าแชมป์ลีก

 

อาร์เซนอล (24 เกม 52 คะแนน ลูกได้เสียตามหลังลิเวอร์พูล 1 ประตู และเท่ากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้) เหลือ 14 เกม (เหย้า 7 เยือน 7)

 

ปืนใหญ่ เหลือรายการแข่งขันน้อยกว่าชาวบ้าน พวกเขาเหลือเกมลีก และ แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ลุ้นแค่สองรายการ นี่คือข้อได้เปรียบที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาในการเตรียมทีมเล่นกันแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ได้บ่อยครั้งขึ้นกว่าอีกสองทีมที่มี เอฟเอ คัพ เข้ามาเพิ่มภาระในการลงเล่นในช่วงสำคัญ

 

เกมที่เหลือพวกเขาต้องเจอกับ สองทีมจากแมนเชสเตอร์ ซึ่งเป็นเกมเยือนทั้งสองเกม และมีเกมสงครามลอนดอนเหนือในการออกไปเยือนสเปอร์สที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อหยุดพวกเขา รวมถึงยังมีนิวคาสเซิ่ล, เชลซี, แอสตัน วิลล่า และ ไบร์ทตัน รอคอพวกเขาอยู่ด้วยทีมเหล่านี้มักจะทำให้อาร์เซนอลสะดุดได้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะ นิวคาสเซิ่ล และ แอสตัน วิลล่า ยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้พวกเขามาแล้วในฤดูกาลนี้

 

ปัญหาของอาร์เซนอล คือเรื่องของความมั่นใจจะส่งผลโดยตรงต่อการเข้าทำของพวกเขา ตัวอย่างเห็นชัดอยู่แล้วในช่วงปลายปี 2023 ที่ไม่ชนะมา 3-4 เกมติดต่อกัน พวกเขาสร้างโอกาสได้เยอะ แต่ยิงประตูกันไม่ได้ พอเรียกความมั่นใจกลับมา พวกเขาก็เริ่มสลุตประตูได้อีกครั้ง ในแง่ของประสบการณ์ลุ้นแชมป์พวกเขามีน้อยที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ไม่มี ความผิดหวังจากปีที่แล้ว จะส่งผลโดยตรงกับพวกเขาในการเรียนรู้ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร รวมถึงต้องภาวนาด้วยว่า ตัวหลัก อย่าบาดเจ็บเป็นอันขาด มิฉะนั้นอาจตายก่อนเข้าเส้นชัยแบบปีที่แล้ว

 

หลังผ่านวันวาเลนไทน์กันไปเรียบร้อย หลังจากนี้ทุกสโมสรจะลงเล่นกันต่อเนื่อง ลากยาวกันจนถึงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งจะเป็นเบรกทีมชาติครั้งสุดท้ายของฤดูกาลนี้ ก่อนที่จะเล่นกันยาวไปจนจบฤดูกาล ใครจะสามารถทำผลงานได้สม่ำเสมอดีกว่ากันแบบเกมต่อเกม รอบต่อรอบ การไม่ได้สามคะแนน จะมีผลต่ออันดับตารางคะแนนโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะลงเล่นเจอกับ ลิเวอร์พูล (10 มีนาคม) และ อาร์เซนอล (31 มีนาคม) อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับทั้งสามทีมในฤดูกาลนี้ โดยที่ห้ามลืมว่า แอสตัน วิลล่า และ สเปอร์ส ตามหลังพวกเขาอยู่ไม่ห่าง และที่สำคัญทั้งสามทีมยังมีเกมเจอกับพวกเขาครบทุกทีมอีกด้วย