หลังจากครึ่งแรกผ่านไปไร้สกอร์ แฟน เชลซี คงยิ่งคาดหวังมากขึ้นถึงแต้มจากเกมนี้
- แต่ครึ่งหลัง เอฟเวอร์ตัน รัวเน้นๆ ปิดเกมที่ 2-0
- นี่คือการแพ้ 3 จาก 4 เกมหลังของ เชลซี และเป็นการแพ้นัดที่ 7 เข้าไปแล้ว
รายการ: ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2023/24
วันแข่งขัน: วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม 2566
สนาม: กูดิสัน พาร์ค
ผลการแข่งขัน: เอฟเวอร์ตัน 2-0 เชลซี
เปลี่ยนบ้างก็ถูกแล้ว
เป็นเรื่องจริงที่ ติอาโก้ ซิลวา คือปราการหลังคนสำคัญ คุณภาพฝีเท้าระดับสูง และยังผ่านประสบการณ์เคี่ยวกรำมามากมายในวัย 39
แต่เวลาเดียวกัน ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกันที่ฟอร์มระยะหลังของอดีตกัปตันทีมชาติบราซิล ไม่ได้อยู่ในมาตรฐานที่ดีนัก ไม่ต้องพูดถึงช่วงพีคๆ สมัยอยู่ เปแอสเช หรือ เอซี มิลาน ให้เสียเวลา
เมื่อคนที่เป็นแกนหลัก สำคัญสุดในเกมรับ ไม่นิ่งเสียแล้ว แผงหลังโดยรวมก็สั่นคลอนไปด้วย ผลคือ เชลซี ทำคลีนชีตหนสุดท้ายได้…เกมไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ “นานมาแล้ว”
ก็ถูกต้องแล้วที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ จะลงสลับปรับเปลี่ยน เป็นคู่เซนเตอร์แบ็กใหม่อย่าง เบอนัวต์ บาเดียชิล – อักเซล ดิซาซี่ ได้ลองจับคู่กันบ้าง
ยิ่งถูกต้องเข้าไปใหญ่กับข้างหน้า ที่เมื่อ อาร์มันโด้ โบรย่า หอกเด็กอัลเบเนีย ฟิตเต็มถังแล้ว ก็ควรลองสลับสับเปลี่ยนลงทำหน้าที่แทน นิโคลัส แจ๊คสัน ดูบ้าง เมื่อแม้ว่า แจ๊คสัน จะมีผลงานกดแล้ว 7 ลูก แต่ก็อย่างที่เห็นตลอดมาถึงความกระโดกกระเดก ใช้โอกาสเปลือง และฝีเท้ายังไม่ถึงระดับ พรีเมียร์ลีก 6-7 ประตูนั่น มาจากโอกาสจบทั้งหมด 38 ครั้ง..
รีซ เจมส์ อีกแล้ว
เริ่มต้นเกมและผ่านสิบกว่านาทีแรกไป ด้วยมีความหวังมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เชลซี จะมีแต้มกลับออกไปจาก กูดิสัน พาร์ค ด้วยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เคยทำให้เห็นมาแล้วกับการชนะที่นี่ 3-0 ปลายเดือนก่อน แต่ โปเช็ตติโน่ ก็ต้องเจอกับอุปสรรคแรกแต่เนิ่นๆ กับโควตาเปลี่ยนตัวคนแรกที่ต้องใช้ในเพียงครึ่งชั่วโมงแรก
รีซ เจมส์ ขาเก่าเจ้าประจำ เจ็บอะไรไม่แน่ชัด ต้องถูกถอดออกให้ ลีวาย โคลวิลล์ ลงไปแทน (และ มาร์ก กูกูเรย่า ต้องโยกมายืนทางขวา ให้ โคลวิลล์ ลงที่แบ็กซ้าย)
ยังไม่มีความแน่นอนว่า เจมส์ จะต้องพักแข้งหรือไม่และนานเท่าใด แต่ก็น่าหวั่นใจสำหรับสภาพร่างกายของกัปตันสิงห์รายนี้ ที่ 3 วันดี 4 วันไข้ของแทร่ ซีซั่นก่อนฟิตพอได้เล่นแค่ 24 นัด ซีซั่นนี้ก็เพิ่ง 9 เกมเท่านั้น (ขณะที่เพื่อนบางคนกดแล้ว 18-19 เกม)
สิงห์คางเปราะ อีกแล้ว
ครึ่งแรกยังพอทำได้ดี กับการตรึงสกอร์ให้ผ้านไปก่อน 0-0
แต่ครึ่งหลัง ซัดกันแค่ 10 นาที หลังบ้าน เชลซี ก็เป็นอันดีแตก โรเบิร์ต ซานเชซ เซฟลูกยิงจังหวะแรกไว้ได้ แต่บอลยังเไม่เปฝ่นใจไหลเข้าทาง อับดูลาย ดูคูเร่ ยิงสวนเสียบเสา
ล่วงมาท้ายเกม เอฟเวอร์ตัน ก็ตอกฝาโลงปิดเกมจากลูกชกเตะมุมของประตูสำรอง ยอร์เย่ เปโตรวิช ที่เข้าทางเจ้าหนู ลูอิส ด๊อบบิ้น ยิงสวนสวยๆ 2-0
ส่วนกับคำถามจากข้อข้างต้น ว่า เชลซี ทำคลีนชีตครั้งสุดท้ายได้เมื่อไหร่
คำตอบคือ เกมชนะ ฟูแล่ม 2-0 เมื่อ 2 ต.ค. แล้วจากนั้นเป็นต้นมา…
ชนะ เบิร์นลี่ย์ 4-1
เสมอ อาร์เซน่อล 2-2
แพ้ เบรนท์ฟอร์ด 0-2
ชนะ สเปอร์ส 4-1
เสมอ แมนฯ ซิตี้ 4-4
แพ้ นิวคาสเซิ่ล 1-4
ชนะ ไบรท์ตัน 3-2
แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-2
และแพ้ เอฟเวอร์ตัน 0-2
9 นัด เสียประตูทุกเกม และเสียรวม 26 ประตูจาก 16 นัด เห็นชัดหรือยังว่าปัญหาของ เชลซี อยู่ที่ตรงไหน?
ทอฟฟี่ ไม่น่าตกชั้นแล้ว
ภายใต้การทำทีมของ ชอน ไดช์ ชัดเจนว่า เอฟเวอร์ตัน เข้าที่เข้าทางแล้ว ก็มีแค่ “ความซวย” ระดับโดนตัดแต้มเท่านั้นที่เป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้พวกเขาบินสูงขึ้นได้
นี่คือการชนะ 3 เกมซ้อนแบบไม่เสียประตูของทีมทอฟฟี่ (1-0 ฟอเรสต์, 3-0 นิวคาสเซิ่ล, 2-0 เชลซี) และยังเป็นการชนะ 4 จาก 5 เกมหลังสุดด้วย
สมมุติว่าถ้าไม่ถูกตัดสิบแต้ม เอฟเวอร์ตัน จะมีแล้ว 23 คะแนน และยืนกลางตารางอันดับ 9
แต่ต่อให้ถูกตัดแต้ม แต่ “ทรงดี” แบบนี้ สานต่อมาตรฐานความต่อเนื่องได้ในระยะยาว เอฟเวอร์ตัน ก็จะไม่ตกชั้นเช่นกัน เมื่อยังมีอีกอย่างน้อย 3-4 ทีมที่ “แย่กว่า” พวกเขา ในทุกมิติ
เชลซี ลงที่ 12 แล้ว
ฝั่ง เชลซี อย่างที่ร่ายไว้ในผลสกอร์ข้างต้น ว่านี่คือการแพ้ 2 นัดติด, แพ้ 3 จาก 4 เกมหลัง และแพ้เป็นนัดที่ 7 เข้าไปแล้วของซีซั่นนี้ (ที่ผ่านไป 16 นัด)
ก็ไม่วายต้องจี้จุดลงไปอีกนั่นแหละว่า ท็อดด์ โบห์ลี่ ลงทุนกับทีมชุดนี้ไปกี่ร้อยกี่พันล้านปอนด์ แต่ต้องมาเห็นอะไรที่น่าหงุดหงิดหัวใจอยู่ในทุกสัปดาห์
เขาไม่ได้เข้ามาเพื่อจะเห็น เชลซี ยืนอันดับกลางตาราง หรือคลุกฝุ่นหนีตายท้ายตาราง แน่อยู่แล้ว
กับตอนนี้ที่อันดับของ เชลซี รูดลงไปอยู่ที่ 12 และเหลือนำหน้าโซนตกชั้นแค่ 10 คะแนน เท่ากับความหวังของเป้าหมายตีตั๋วบอลยุโรป ยังมองไม่เห็น
ไม่รู้เหมือนกันว่า โบห์ลี่ จะทำใจเย็นรอ โปเช็ตติโน่ ได้สักกี่นาน…