“บังโม” 199 ประตู, แชมป์กลุ่มสบายอุรา! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล ถลุง ลินซ์

thumbnail

ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในแมตช์ล่าสุดที่เปิดรังแอนฟิลด์ ไล่ทุบ แอลเอเอสเค ลินซ์ สโมสรจากออสเตรีย 4-0 ในศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

กุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ จัดทัพแบบปรับเกือบยกชุด แต่แนวรุกยังใช้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำหน้าที่เป็นตัวหลัก และก็ไม่ผิดหวังเมื่อ “บังโม” มีชื่อทำประตูในเกมนี้ด้วย ทำให้เขาจัดการตะบันไปแล้ว 199 ประตูในทุกรายการ และเหลืออีกแค่ลูกเดียวก็จะกลายเป็นแข้งรายที่ 5 ของทีมที่ทำประตูครบ 200 ลูก

 

ขณะที่เกมรับและแผงมิดฟิลด์ถือว่าทำผลงานได้อย่างโดดเด่นโดยเฉพาะ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่โชว์ฟอร์มได้เด็ดสะระตี่มีส่วนในการขับเคลื่อนเกมบุกของทีม ที่สำคัญชัยชนะในเกมนี้ทำยังทำให้ “หงส์แดง” เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่ม อี ทันที

 

  1. โม ซาลาห์ ใกล้ทาบตำนาน 

คล็อปป์ ตัดสินใจส่ง ซาลาห์ ลงตัวจริงนอกจากจะเป็นการประกาศจุดยืนชัดเจนว่าต้องการให้ทีมปราบคู่แข่งแบบเด็ดขาดจะได้ไม่ต้องไปเหนื่อยลุ้นเกมสุดท้าย แต่ยังเปิดโอกาสให้ “บังโม” ได้ลุ้นทำสถิติเพิ่มด้วย

 

ก่อนเกมนี้ ซาลาห์ ต้องการอีกสองประตูก็จะสร้างสถิติตะบันครบ 200 ลูกในนามแข้ง “หงส์แดง” โดยเขาสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเกมตลอด ทำให้ทีมมีลุ้นได้ประตูอย่างต่อเนื่อง

 

จนกระทั่งในช่วงต้นครึ่งหลัง ซาลาห์ ก็มาทำประตูได้จากจังหวะจุดโทษ นั่นทำให้เขาเพิ่มสถิติเป็นการตะบันตาข่ายคู่แข่งไปแล้ว 199 ประตู และต้องการแค่ลูกเดียวก็จะกลายเป็นนักเตะคนที่ 5 ในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรที่ซัดได้ถึง 200 ประตู

 

สำหรับนักเตะคนล่าสุดที่สามารถทำได้นั่นก็คือ”เพชฌฆาตหน้าติดหนวด” เอียน  รัช ตำนานดาวยิงลิเวอร์พูล ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนมี.ค.1987 หรือ 36 ปีที่แล้ว ที่สำคัญแข้งตำนาน “เดอะ เร้ดส์” อย่าง เซอร์ เคนนี่ ดัลกลิช, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, ไมเคิ่ล โอเว่น, เอียน เซนต์ จอห์น และ เควิน คีแกน ยังไม่เคยทำได้เลยกับ ลิเวอร์พูล 

 

  1. แผงกองกลางประสานงานดีเยี่ยม

แมตช์นี้ “เดอะ เร้ดส์” เลือกที่จะโรเตชั่นแผงกองกลาง โดยใช้ วาตารุ เอ็นโด ทำหน้าที่เป็นโฮลดิ้ง มิดฟิลด์ ที่มี ไรอัน กราเฟนแบร์ก กับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ คอยรับบทบาทการเล่นเกมรุกซึ่งทั้งหมดถือว่าเล่นกันได้อย่างเข้าขา

 

กราเฟนแบร์ก แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีดีมากกว่าการเป็นเพียงตัวสำรองของ เคอร์ติส โจนส์ โดยเฉพาะความสามารถเฉพาะและการผ่านบอลที่แม่นยำ น่าจะถึงเวลาที่ คล็อปป์ จะให้โอกาสเขาทำหน้าที่ตัวจริงในเกมลีก 

 

ขณะที่ เอลเลียตต์ ต้องยอมรับว่ามีการพัฒนาผลงานอย่างต่อเนื่อง โดยแมตช์นี้ความคล่องตัวและความขยันในการวิ่งหาพื้นที่สร้างประโยชน์ให้เกมรุกของทีมเยอะมาก ขณะเดียวกันเจ้าตัวยังขยันวิ่งลงมาช่วยเกมรับด้วย

 

สำหรับบทบาทของ เอ็นโด ในเกมนี้ถือว่าสอบผ่าน  โดยนักเตะปรับตัวกับการเล่นของทีมได้มากขึ้น แทบจะไม่ทำผิดพลาดอะไรเลย ที่สำคัญยังคอยทำหน้าที่เก็บบอล และเชื่อมเกม ส่วนเกมรับก็เล่นได้อย่างแข็งแกร่ง 

 

ดังนั้นในส่วนของแผงมิดฟิลด์ตอนนี้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับ คล็อปป์ ที่มีออปชั่นให้เลือกใช้งานได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันการที่นักเตะต้องแข่งขันเพื่อโอกาสลงตัวจริงอย่างต่อเนื่องย่อมช่วยให้พวกเขามีการพัฒนาศักยภาพมากยิ่งขึ้น

 

  1. ดิอาซ กลับคืนฟอร์มเก่ง

ตอนนี้ในหัวของ หลุยส์ ดิอาซ ไม่มีอะไรมาทำให้กังวลอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่ได้รับข่าวดีเรื่องที่คุณพ่อซึ่งถูกลักพาตัวได้รับการปล่อยตัวกลับสู่อ้อมอกครอบครัว นั่นทำให้แมตช์นี้สาวก “เดอะ ค็อป” ได้เห็นทีเด็ดของเขาเต็มที

 

สตาร์ชาวโคลอมเบีย กลับมาเรียกฟอร์มเทพคืนมาได้ ความรวดเร็ว และความคล่องตัวสามารถปั่นป่วนเกมรับของ ลินซ์ ได้ตลอด การที่ ลิเวอร์พูล ได้ ดิอาซ ลงสนามด้วยความมั่นใจ ทำให้แนวรุกทางฝั่งซ้ายของทีมอันตรายเป็นทวีคูณ

 

การวิ่งหาพื้นที่ว่างของ ดิอาซ ทำได้ดีมากๆ นอกจากนี้นักเตะยังโชว์จังหวะการโหม่งทำประตูที่เด็ดขาดซึ่งเป็นการผสมผสานให้เห็นถึงคุณภาพในการจบสกอร์และการคิดเร็วทำเร็ว

 

คล็อปป์ ตัดสินใจถอด ดิอาซ ออกในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการเก็บความสดของ ดาวเตะทีมชาติโคลอมเบีย เพื่อหวังจะเอาไว้ใช้งานในแมตช์ปะทะ “เจ้าสัวน้อย” ฟูแล่ม สุดสัปดาห์นี้ 

 

  1. เคลเลเฮอร์ พร้อมแทน อลีสซง หรือยัง 

จากอาการบาดเจ็บของ อลีสซง เบ็คเกอร์ ทำให้ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ได้รับโอกาสลงทำหน้าที่เป็นมือ 1 ของทีม และอาจจะต้องลงเฝ้าเสาอีกหลายเกมในช่วงหลายๆ สัปดาห์ที่จะถึงนี้ ดังนั้นเกมนี้ถือเป็นบททดสอบที่ดีสำหรับ นายทวารชาวไอริช

 

เคลเลเฮอร์ อาจจะไม่ได้โชว์ผลงานอะไรมากนักในช่วงครึ่งแรก แต่ในช่วงครึ่งหลังนักเตะต้องทำงานหนักพอสมควร และมีหลายครั้งที่เจ้าตัวแสดงปฏิกิริยาว่องไวในการป้องกันจังหวะอันตรายของ ลินซ์

 

ขณะที่การเล่นบอลด้วยเท้า และการเปิดบอลเร็วเพื่อเล่นเกมรุกทำได้ดีไม่แพ้ อลีสซง ฉะนั้นนักเตะคงทำให้ คล็อปป์ รู้สึกอุ่นใจได้พอสมควรในช่วงที่ทีมไม่มี โกลทีมชาติบราซิล ลงเฝ้าเสา 

 

ตลอดทั้งเกม เคลเลเฮอร์ ไม่ค่อยมีงานให้ทำมากนัก นั่นหมายความว่าเขายังไม่เจอบททดสอบยากๆ เท่าไหร่ แต่สำหรับเกมลีกเจ้าตัวคงรู้ว่ามันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเกมยูโรปา ฉะนั้นนี่จะเป็นบททดสอบที่หินยิ่งกว่าสำหรับเขาแน่นอน 

 

  1. ไม่ต้องมีโปรแกรมเพิ่มให้เหนื่อย

ลิเวอร์พูล รู้ว่าการคว้า 3 คะแนนในเกมพบกับ ลินซ์ จะทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์แน่นอน แม้ว่าจะเหลือเกมต้องลงเล่นอีกแมตช์พบ อูนิยง แซงต์-ชิลลวส จากเบลเยียม ก็ตาม 

 

การผ่านเข้ารอบเป็นเป้าหมายที่ คล็อปป์ แอนด์ โค. ต้องการอยู่แล้ว แต่พวกเขาอยากที่จะจบในตำแหน่งแชมป์กลุ่ม แน่นอนว่า “หงส์แดง” ต้องลุ้นไม่ให้คู่ระหว่าง ล็องส์ กับ อูนิยง มีผลแพ้ชนะ ซึ่งก็เป็นไปตามคาดหมาย นั่นหมายความว่า ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์กลุ่ม 

 

สำหรับแชมป์กลุ่มกับอันดับ 2 ของกลุ่มมีความแตกต่างอย่างมากในศึกยูโรปา ลีก เนื่องจากทีมอันดับ 1 จะได้ตั๋วเข้าไปเล่นรอบ 16 ทีมสุดท้ายทันที ส่วนรองแชมป์กลุ่ม ต้องไปเพลย์ออฟกับทีมอันดับ 3 จากศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งต้องลงเล่น 2 เกมแบบเหย้า-เยือน

 

เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะนั่นทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ต้องมีโปรแกรมเพิ่มให้ร่างกายเหนื่อยล้า นอกจากนี้ในเกมสุดท้ายกับ อูนิยง ทีมยังสามารถโรเตชั่นแบบจัดเต็มได้เลยโดยไม่ต้องกังวลผลการแข่งขันอีกแล้ว  

 

ยิ่งไปกว่านั้นหลังแมตช์กับ อูนิยง พวกเขาต้องทัพศึก “แดงเดือด” เจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้สามารถพักผู้เล่นคีย์แมนได้เต็มที่ สวนทางกับ “ผีแดง” ที่ต้องจัดชุดที่ดีที่สุดรับมือ บาเยิร์น มิวนิค เพื่อโอกาสเข้ารอบ 16 ทีม เกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก