- 90 นาทีจบที่ 0-0 มาถึง 120 นาทีก็หวิดจะออก 0-0 เช่นเดิม
- สุดท้าย เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ โฉบเข้าโขกเตะมุมเสียบตาข่าย ตัดสินเกมด้วยประตูเดียว
- และนี่คือคะแนนความสามารถของนักเตะ เชลซี และ ลิเวอร์พูล ประจำเกมนี้
รายการ: นัดชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ 2024
วันแข่งขัน: อาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567
สนาม: เวมบลีย์ สเตเดี้ยม
ผลการแข่งขัน: เชลซี 0-0 ลิเวอร์พูล, ต่อเวลา ลิเวอร์พูล ชนะ 1-0
ภายใต้การจัดทีมแบบ “เอาเท่าที่มี” เมื่อต่างฝ่ายต่างเจอปัญหาตัวเจ็บเยอะ โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล ที่ไม่มีใครฟิตกลับมาเพิ่มได้เลย ถือว่าเกมสู้กันได้อย่างสนุก คู่คี่สูสี และสุดท้ายกลายเป็นฉากจบแสนเจ็บปวดของ เชลซี ที่ต้องมาเสียประตูในนาที 118 จากลูกโขกเตะมุมของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ทั้งที่เกมกำลังจะถึงดวลจุดโทษชี้ขาดในอีกอึดใจเดียวเท่านั้น เท่ากับ ลิเวอร์พูล ครองแชมป์ คาราบาว คัพ 2024 และเป็นแชมป์ ลีก คัพ สมัยที่ 10 ของพวกเขา
คะแนนนักเตะ เชลซี
ยอร์เย่ เปโตรวิช – 9 – นิ่งแน่นอนดีในช่วงต้น เมื่อต้องเซฟถึง 3-4 รอบใน 15 นาทีแรก ทั้งจาก หลุยส์ ดิอาซ และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ จากนั้นแม้โดนเจาะในครึ่งหลังจากลูกโขกของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ แต่ก็โชคดีที่เป็นล้ำหน้า และมามีเซฟสำคัญตอนต่อเวลา น.115 ที่เซฟลูกโขกของ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ได้แบบใจหายใจคว่ำ ส่วนช็อตเสียประตูก่อนจบ ก็คงว่าไม่ได้
เบน ชิลเวลล์ – 7 – ตามประกบ ฟาน ไดค์ ไม่อยู่ จนโดนทิ่มโขกเข้าไปในครึ่งหลัง แต่ยังดีที่ถูกริบคืนไปเนื่องจากล้ำหน้า ส่วนภาพรวมของเกมออกจะเน้นรับเป็นหลัก ไม่ได้มีโอกาสเติมเกมรุกขึ้นมากครั้งนัก
ลีวาย โคลวิลล์ – 7 – ลงยืนเซนเตอร์แบ็กตัวจริง แทนที่ ติอาโก้ ซิลวา ซึ่งเจ็บเล็กๆ ก่อนรับมือกับบรรดาแนวรุกของ ลิเวอร์พูล ได้อย่างแข็งแกร่ง ไม่มีข้อผิดพลาด แต่ที่ยังหายๆ ไปหน่อยในวันนี้คือการเสริมเกมเล่นลูกตั้งเตะ ที่ไม่ช่วยสร้างประโยชน์ในวันนี้
อักเซล ดิซาซี่ – 8 – ประสานงานกับคู่ขา โคลวิลล์ ได้อย่างยอดเยี่ยม และทำได้ดีกว่าด้วยในเรื่องของเกมปะทะ การตัดจังหวะสำคัญๆ ที่เกมรุก ลิเวอร์พูล พาเข้าหา เรียกว่าเป็นหลักในแนวรับ เชลซี ได้ดีเลยในวันนี้
มาโล กุสโต้ – 7 – ตื่นสนามนัดชิงจนสั่นมากในตอนต้น มีทั้งเล่นพลาดและทำบอลลั่นหลุดออกริมเส้น ยังดีที่ไม่ส่งผลเสียกับเกม แล้วจากนั้นเมื่อตั้งสติได้ก็ถือว่าไม่แย่ มีส่วนร่วมสูงทั้งรับและรุก แต่ถ้าเปิดบอลให้แม่นกว่านี้อีกนิดจะดีมาก
มอยเซส ไคเซโด้ – 7 – พยายามเล่นเกมหนักจนดูเหมือนจะหนักไปนิดในช่วงต้น โดยเฉพาะช็อตย่ำใส่ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ที่แม้อาจไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ทำให้เกมต้องหยุดไปหลายนาที และ ลิเวอร์พูล ต้องเปลี่ยนตัวคนแรกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยังคงเล่นหนัก แต่ก็หนักในเกม เป็นตัวแทงค์ในแดนกลาง เชลซี
เอ็นโซ เฟร์นานเดซ – 7 – มีส่วนร่วมกับเกมสูงทั้งการตัดเกมและออกบอล แต่ก็พลาดเล็กๆ กับโอกาสของตัวเองในนาทีที่ 52 ที่ลูกมาพันแข้งพันขาจนอดยิงจากระยะ 5-6 หลา หรือจ่ายเพื่อนก็ไม่ทันเหมือนกัน
ราฮีม สเตอร์ลิ่ง – 5 – น่าผิดหวังอีกครั้งหลังได้โอกาสลงตัวจริง แต่กลับไม่อาจผลิตงานที่คาดหวังไว้ได้ โดยครึ่งแรกสบโอกาสเข้าชาร์จลูกจ่ายของ แจ๊คสัน ตุงตาข่าย น.33 แต่ก็ถูกจับล้ำหน้าไปเสีย จากนั้นครึ่งหลังหายไปจากเกมจนถูกเปลี่ยนออก
คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ – 7 – วิ่งเยอะเพื่อช่วยทั้งเกมรุกและรับเหมือนเช่นเคย แม้จะไม่ได้เล่นกับลูกมากนัก แต่ก็เกือบยิงนำให้เชลซีเหมือนกันในครึ่งหลัง น.77 ที่ตวัดยิงลูกเปิดของ พาลเมอร์ ไปชนเสาสองเด้งออกมาอย่างน่าเสียดาย เช่นเดียวกับนาที 85 ที่มีโอกาสส่องจังๆ ไม่ผ่านเซฟ เคลเลเฮอร์
โคล พาลเมอร์ – 7 – พยายามอย่างเต็มที่แล้ว เกือบพังประตูนำ 1-0 ในนาที 21 จังหวะบอลขลุกขลิกมาให้แประยะอันตราย 5-6 หลา แต่ติดตัว เคลเลเฮอร์ แล้วจากนั้นก็เล่นด้วยมาตรฐานที่ดี ขาดแค่โอกาสจบของตัวเองที่ไม่ค่อยมีมากนักเท่านั้น
นิโคลัส แจ๊คสัน – 5 – เงียบพอสมควรกับการถูกจับลงที่หอกเป้าตั้งแต่แรก โดยมีโอกาสทะลุขึ้นทางขวาไปปาดให้ สเตอร์ลิ่ง เข้าฮอสตุงตาข่าย น.33 แต่ก็ถูกจับล้ำหน้าทั้งจากผู้ตัดสินและ VAR จากนั้นถือว่ามีส่วนร่วมกับเกมไม่มาก โดยเฉพาะครึ่งหลังที่หายต๋อมเลยจนโดนถอดออก
สำรอง เชลซี
คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู (แทน ราฮีม สเตอร์ลิ่ง น.67) – 5 – หวังให้ลงสำรองไปเปลี่ยนเกม แต่ทำอะไรไม่ได้มาก การประสานเกมกับเพื่อนดูไม่ลงล็อกในวันนี้
มิไคโล มูดริค (แทน นิโคลัส แจ๊คสัน น.89) – 6 – ไม่มีประโยชน์ในเกมรุกอย่างที่คาดหวัง แต่กลายเป็นวิ่งเยอะ ลงไปช่วยตัดเกมได้ดี ส่วนกับประตูที่เสียไปจากการโดน ฟาน ไดค์ โขกตัดหน้า ก็ไม่รู้จะกล่าวโทษได้เต็มๆ หรือไม่ เมื่อที่จริงก็มีกลุ่มแข้ง เชลซี ยืนอออยู่ตรงนั้นแล้วแต่ก็ยังปิดไม่อยู่
โนนี่ มาดูเอเก้ (แทน คอเนอร์ กัลลาเกอร์ น.97) – 5 – ไม่ใช่คนที่ เชลซี จะคาดหวังอะไรได้เต็มที่ เมื่อแม้มีความวูบวาบ มีสปีดความเร็วก็จริง แต่บอลสุดท้ายไม่ค่อยมีคุณภาพ
เทรโวห์ ชาโลบาห์ (แทน เบน ชิลเวลล์ น.113) – 6 – ลงไปแค่เติมความสดที่หลังบ้าน เชลซี และเผื่อจะเป็นหนึ่งในมือยิงจุดโทษ แต่ก็ไปไม่ถึงตรงนั้น
คะแนนนักเตะ ลิเวอร์พูล
ควีวิน เคลเลเฮอร์ – 9 – เซฟสำคัญมากในนาทีที่ 21 จังหวะซัดจ่อๆ ของ โคล พาลเมอร์ และจากนั้นก็ชัวร์มากตลอดเกม ทั้งจากโอกาส 3-4 หนซ้อนตอนท้ายเกม และช่วงต่อเวลาที่ โนนี่ มาดูเอเก้ ได้ยิงแฉลบเข้าหา ล้วนแต่ไม่ผ่านเซฟทั้งหมด
แอนดี้ โรเบิร์ตสัน – 7 – ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มประสิทธิภาพ แม้อาจไม่ได้โอกาสขึ้นเกมรุกมากมายนัก แต่ก็ไร้ข้อผิดพลาดตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในสนาม
เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ – 9 – เกมรับสบายๆ เกมรุกมีโอกาสทิ่มโขกจั๋งหนับ ตุงตาข่ายก่อนออกเฮในนาที 63 แต่เป็นเฮเก้อเมื่อผู้ตัดสินเช็ค VAR แล้วริบประตูคืน ลงความเห็นว่าล้ำหน้า กระนั้นสุดท้ายก็เป็นฮีโร่ประตูชัยจนได้ในที่สุด กับลูกโขกเตะมุมที่เข้าประตูไปแบบหมดจด ไร้ข้อโต้เถียง น.118
อิบราฮิมา โกนาเต้ – 8 – ยอดเยี่ยมอีกคนในแผงหลัง ลิเวอร์พูล โดยแม้ เชลซี จะสร้างโอกาสจบได้พอตัว แต่ก็ไม่ใช่ง่ายที่จะผ่าน โกนาเต้ ไปได้ตลอดทั้งเกม
คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ – 7 – อาจไม่เฉิดฉายเหมือนเกมเจอ เชลซี ครั้งก่อน แต่ด้วยอายุเท่านี้ การลงเล่นนัดชิงรายการใหญ่หนแรกของชีวิต ก็ถือว่าทำได้ดีมาก ทำหน้าที่ของตัวเองได้เยี่ยมทั้งรุกรับ แม้ครึ่งหลังจะดูล้าๆ ไปนิดก็ตาม
ไรอัน กราเฟนแบร์ก – 6 – ยังไม่ทันทำอะไร ไม่ได้สัมผัสบอลเท่าไหร่ ก็ต้องโดนหามออก เปลี่ยนตัวออกอย่างรวดเร็วหลังโดน มอยเซส ไคเซโด้ ย่ำใส่แบบไม่ติดเบรค และต้องตามข่าวต่อว่าจะเป็นอีกคนที่พักยาวหรือไม่
วาตารุ เอ็นโด – 8 – คุมแดนกลางได้อย่างน่าชมเชยเหมือนเช่นเคย กับการยืนตัวต่ำสุดในแผงกลาง ลิเวอร์พูล และพร้อมเล่นเกมเข้าปะทะทุกเมื่อ รวมถึงการออกบอลเสริมเกมรุกก็มีประโยชน์เช่นกัน
อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ – 7 – อาจไม่ใช่เกมที่โดดเด่นนักเมื่อเทียบกับนัดก่อนๆ แต่ก็ไม่มีข้อผิดพลาดอะไรให้ต้องตำหนิ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนแดนกลางที่สำคัญของ ลิเวอร์พูล ในทุกเกม
หลุยส์ ดิอาซ – 6 – ปั่นป่วนอันตรายในช่วงต้น สมเป็นตัวความหวังสูงสุดของ ลิเวอร์พูล โดยสามารถสร้างโอกาสยิงได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ว่าหลังจากนั้นก็ค่อยๆ เงียบหาย จนแทบลืมไปเหมือนกันว่าได้เล่นครบ 120 นาทีไม่ถูกเปลี่ยนออก
โคดี้ กัคโป – 5 – พลาดโอกาสทองไปในนาทีที่ 40 จังหวะสะบัดโขกลูกเปิดของ โรเบิร์ตสัน ไปชนโคนเสาเข้าเต็มๆ เช่นเดียวกับนาที 70 ที่ได้กดเต็มข้อระยะอันตราย แต่งัดโด่งข้ามไปเสีย เท่ากับเกมนี้ไม่ใช่นัดที่น่าจดจำนักในแง่ของผลงานส่วนตัว
ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ – 8 – ถูกวางลงที่ปีกขวาอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นถูกถอยมาลงตรงกลางแทน กราเฟนแบร์ก ซึ่งก็วิ่งเยอะ วิ่งสู้ฟัดตลอดเกม และเกือบเป็นเจ้าของประตูชัย ตอนต่อเวลา น.115 เหมือนกันที่สบโอกาสโขกเต็มๆ จะเข้าเสาแรก แต่ติดซูเปอร์เซฟ เปโตรวิช
สำรอง ลิเวอร์พูล
โจ โกเมซ (แทน ไรอัน กราเฟนแบร์ก น.27) – 7 – ลงสำรองเร็วกว่าที่คิดเมื่อ กราเฟนแบร์ก เจ็บเล่นต่อไม่ไหว แต่ถือว่าช่วยงานเกมรับได้ดีทีเดียว ปิดการขึ้นของ สเตอร์ลิ่ง และคนอื่นๆ ของ เชลซี ได้ตลอด
บ๊อบบี้ คล้าร์ก (แทน คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ น.73) – 7 – ลงไปเสริมพลังในแดนกลาง และโดยรวมก็เล่นได้น่าประทับใจทีเดียว จนอยากเห็นอยู่ในสนามนานกว่านี้อีก
เจย์เดน แดนน์ส (แทน โคดี้ กัคโป น.87) – 7 – ลงไปอยู่ในสนามไม่กี่วินาที ก็มีโอกาสส่องเลย แต่ยังเอาชนะ เปโตรวิช ไม่ได้ และโดยเฉพาะลูกโขกเน้นๆ น.93 ที่กำลังจะเสียบใต้คาน แต่ก็ไม่ผ่านซูเปอร์เซฟจอมหนึบเชลซีอีก
คอสตาส ซิมิกาส (แทน แอนดี้ โรเบิร์ตสัน น.87) – 7 – แม้โดยรวมจะไม่ได้ฉายแสงอะไรกับการอยู่ในสนาม แต่ที่สุดแล้วเป็นเจ้าของแอสซิสต์สำคัญ เปิดเตะมุมให้ ฟาน ไดค์ โขกตัดสินเกม
เจมส์ แม็คคอนเนลล์ (แทน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ น.87) – 7 – ลงไปช่วยวิ่งไล่แดนกลาง ใช้พละกำลังสู้กับแผงมิดฟิลด์ของ เชลซี ตลอดช่วงเวลาในสนาม
จาร์เรลล์ ควอนซาห์ (แทน อิบราฮิมา โกนาเต้ น.105) – 6 –เป็นตัวสำรองโควตาพิเศษรายที่ 6 ในช่วงต่อเวลา ซึ่งก็ถือว่าไม่มีอะไรให้ต้องตำหนิ